1 ทฤษฎีการหักเหของแสง
การหักเหของแสง (Refraction) หมายถึง
การเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ของแสง
เมื่อแสงเคลื่อนที่จากตัวกลางชนิดหนึ่งไปยังอีกตัวกลางชนิดหนึ่งที่มีความหนาแน่นแตกต่างกัน
สาเหตุที่ทำให้แสงหักเหเนื่องจากอัตราเร็วของแสงในตัวกลางทั้งสองไม่เท่ากัน การหักเหของแสงเกิดขึ้นตรงผิวรอยต่อของตัวกลาง
ลักษณะการหักเหของแสง
เมื่อแสงเคลื่อนที่จากตัวกลางที่มีความหนาแน่นน้อยเข้าสู่ตัวกลางที่มีความหนาแน่นมากกว่า
แสงจะหักเหเข้าหาเส้นปกติ
ในทางตรงกันข้ามถ้าแสงเคลื่อนที่จากตัวกลางที่มีความหนาแน่นมากเข้าสู่ตัวกลางที่มีความหนาแน่นน้อยกว่า
แสงจะหักเหออกจากเส้นปกติ ซึ่งในขณะที่แสงเกิดการหักเหก็จะเกิดการสะท้อนของแสงขึ้นพร้อมๆ
กันด้วย เมื่อแสงเดินทางผ่านวัตถุหรือตัวกลางโปร่งใส
เช่น อากาศ แก้ว น้ำ พลาสติกใส แสงจะสามารถเดินทางผ่านได้เกือบหมด
เมื่อแสงเดินทางผ่านตัวกลางชนิดเดียวกัน แสงจะเดินทางเป็นเส้นตรงเสมอ
แต่ถ้าแสงเดินทางผ่านตัวกลางหลายตัวกลาง แสงจะหักเห
สาเหตุที่ทำให้แสงเกิดการหักเห
เกิดจากการเดินทางของแสงจากตัวกลางหนึ่งไปยังอีกตัวกลาง
หนึ่งซึ่งมีความหนาแน่นแตกต่างกัน จะมีความเร็วไม่เท่ากันด้วย โดยแสงจะเคลื่อนที่ในตัวกลางโปร่งกว่าได้เร็วกว่าตัวกลางที่ทึบกว่า
เช่น ความเร็วของแสงในอากาศมากกว่าความเร็วของแสงในน้ำ
และความเร็วของแสงในน้ำมากกว่าความเร็วของแสงในแก้วหรือพลาสติก
การที่แสงเคลื่อนที่ผ่านอากาศและแก้วไม่เป็นแนวเส้นตรง
เดียวกันเพราะเกิดการหักเหของแสง
โดยแสงจะเดินทางจากตัวกลางที่มีความหนาแน่นน้อยกว่า ( โปร่งกว่า)
ไปยังตัวกลางที่มีความหนาแน่นมากกว่า ( ทึบกว่า) แสงจะหักเหเข้าหาเส้นปกติ
ในทางตรงข้าม ถ้าแสงเดินทางจากยังตัวกลางที่มีความหนาแน่นมากกว่า
ไปยังตัวกลางที่มีความหนาแน่นน้อยกว่า แสงจะหักเหออกจากเส้นปกติ
การหักเหของแสงทำให้เราสามารถอธิบายปรากฏการณ์หลายๆอย่างได้ในชีวิตประจำวันอย่าง
ขนาดของภาพที่เล็ก หรือ ใหญ่ขึ้นเมื่อมองผ่านวัตถุผิวโค้งอย่างเลนส์นูน และ
เลนส์เว้า ตำแหน่งของปลาในบ่อที่ดูเหมือนกับอยู่ตื้นกว่าปกติ ตำแหน่งของวัตถุทีอยู่เหนือน้ำที่ดูเหมือนกับอยู่เหนือผิวน้ำมากกว่าเดิม

- ความถี่ของแสงยังคงเท่าเดิม ส่วนความยาวคลื่น และความเร็วของแสงจะไม่เท่าเดิม
จะอยู่ในแนวเดิมถ้าแสงตกตั้งฉากกับผิวรอยต่อของตัวกลาง
จะไม่อยู่ในแนวเดิมถ้าแสงไม่ตกตั้งฉากกับผิวรอยต่อของตัวกลาง
1. รังสีตกกระทบ เส้นแนวฉาก และรังสีหักเห อยู่ในระนาบเดียวกัน
2. สำหรับตัวกลางคู่หนึ่ง ๆ อัตราส่วนระหว่างค่า sin ของมุมตกกระทบ ในตัวกลางหนึ่งกับ
ค่า sin ของมุมหักเหในอีกตัวกลางหนึ่ง มีค่าคงที่เสมอ
- แสงเดินทางจากตัวกลางที่มีความหนาแน่นน้อยไปสู่ตัวกลางที่มีความหนาแน่นมาก
หรือ - แสงเดินทางจากตัวกลางที่มีดัชนีหักเหน้อยไปสู่ตัวกลางที่มีดัชนีหักเหมาก
หรือ - แสงเดินทางจากตัวกลางที่มีความเร็วมากไปสู่ตัวกลางที่มีความเร็วน้อย
- แสงเดินทางจากตัวกลางที่มีความหนาแน่นมากไปสู่ตัวกลางที่มีความหนาแน่นน้อย
หรือ - แสงเดินทางจากตัวกลางที่มีดัชนีหักเหมากไปสู่ตัวกลางที่มีดัชนีหักเหน้อย
หรือ - แสงเดินทางจากตัวกลางที่มีความเร็วน้อยไปสู่ตัวกลางที่มีความเร็วมาก
ตั้งแต่มนุษย์ได้รู้จักกับการหักเหของแสง
ก็ได้พยายามที่จะหาวิธีการคำนวณมุมของแสงที่เบี่ยงเบนไปจากเดิมหลังจากที่ได้เคลื่อนที่เข้าสู่ตัวกลางใหม่
ประวัติความเป็นมานั้นสามารถย้อนไปได้ถึงปีที่ 62 ของการเผยแผ่ศาสนาคริสต์
และสูตรการคำนวณที่ใช้หามุมของการหักเหของแสงก็ถูกค้นพบโดยนักฟิสิกส์ที่ชื่อเคลาดิอุส
พโทเลมี (Claudius Ptolemy) ใน 100 ปีถัดมา ซึ่งสูตรการคำนวณของพโทเลเป็นสูตรที่ใช้ได้เฉพาะกับมุมตกกระทบที่มีค่าน้อยๆ และใช้ได้กับการหักเหของแสงระหว่างน้ำกับอากาศ
แก้วกับน้ำ และอากาศกับแก้วเท่านั้น
แต่สำหรับสูตรการคำนวณค่ามุมหักเหของแสงที่เรารู้จักกันในชื่อกฎของสเนลล์ (Snell’s
Law) สามารถใช้กับตัวกลางคู่ใดก็ได้ที่เรารู้ค่าดัชนีหักเหของแสง n1และ n2ของตัวกลาง และรู้ค่ามุมตกกระทบของแสงในตัวกลางที่ 1
(q1) กฎการหักเหของแสงนี้ได้ถูกคิดค้นมากว่า 300 ปีแล้ว
จากกฎข้อ 2 สเนลล์นำมาตั้งเป็นกฎของสเนลล์ได้ดังนี้
และ

v = ความเร็วของแสง ในตัวกลางใด ๆ เมตร/วินาที
n = ดัชนีหักเหของแสงในตัวกลาง(ไม่มีหน่วย)
หรือ คือ ดัชนีหักเหสัมพัทธ์ระหว่างตัวกลางที่ 2 เทียบกับตัวกลางที่ 1
c = ความเร็วแสงในสุญญากาศ และ v คือความเร็วแสงในตัวกลาง = 3 X 10 8 m/s
นั่นคือ ตัวกลางที่มีค่าดัชนีหักเหของแสงน้อย (ความหนาแน่นน้อย) แสงจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง
ตัวกลางที่มีค่าดัชนีหักเหของแสงมาก (ความหนาแน่นมาก) แสงจะเคลื่อนที่ด้วยความต่ำ
เมื่อประมาณค่าให้อัตราเร็วของแสงในอากาศเท่ากับอัตรา เร็วของแสงในสุญญากาศ ในการหาค่าดรรชนีหักเหของวัตถุหรือตัวกลางที่แสงเดินทางจากอากาศผ่านเข้าไป ในวัตถุหรือตัวกลางจึงถือเป็นค่าเดียวกับที่แสงเดินทางจากสุญญากาศผ่านเข้า ไปในวัตถุหรือตัวกลาง ดังตารางต่อไปนี้
และ

v = ความเร็วของแสง ในตัวกลางใด ๆ เมตร/วินาที
n = ดัชนีหักเหของแสงในตัวกลาง(ไม่มีหน่วย)
หรือ คือ ดัชนีหักเหสัมพัทธ์ระหว่างตัวกลางที่ 2 เทียบกับตัวกลางที่ 1
c = ความเร็วแสงในสุญญากาศ และ v คือความเร็วแสงในตัวกลาง = 3 X 10 8 m/s
นั่นคือ ตัวกลางที่มีค่าดัชนีหักเหของแสงน้อย (ความหนาแน่นน้อย) แสงจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง
ตัวกลางที่มีค่าดัชนีหักเหของแสงมาก (ความหนาแน่นมาก) แสงจะเคลื่อนที่ด้วยความต่ำ
เมื่อประมาณค่าให้อัตราเร็วของแสงในอากาศเท่ากับอัตรา เร็วของแสงในสุญญากาศ ในการหาค่าดรรชนีหักเหของวัตถุหรือตัวกลางที่แสงเดินทางจากอากาศผ่านเข้าไป ในวัตถุหรือตัวกลางจึงถือเป็นค่าเดียวกับที่แสงเดินทางจากสุญญากาศผ่านเข้า ไปในวัตถุหรือตัวกลาง ดังตารางต่อไปนี้
ตารางแสดงค่าดรรชนีหักเหของตัวกลางและอัตราเร็วของแสงในตัวกลางต่างๆ
*ข้อควรจำ n อากาศ = 1 ส่วน n ตัวกลางอื่น ๆ จะมากกว่า 1 เสมอ*
สิ่งควรทราบเกี่ยวกับการหักเหของแสง
ทิศทางการเคลื่อนที่ของแสง
กฎการหักเหของแสง
การหักเหของแสงเกิดขึ้นได้ 2 แบบ คือ
1.การหักเหเข้าหาเส้นแนวฉาก
เกิดขึ้นเมื่อ
2. การหักเหออกจากเส้นแนวฉาก
เกิดขึ้นเมื่อ
2 ผลที่เกิดจากการหักเหของแสง
2.1
มองเห็นดินสอในแก้วน้ำเหมือนดินสอหัก
เราจะเห็นว่าดินสอที่อยู่ในแก้วเปล่า
จะเป็นแท่งตรงส่วนดินสอที่อยู่ในแก้วที่มีน้ำจะมีลักษณะหักงอ เมื่อมองจากด้านบนลงไป เนื่องจาก
การหักเหของแสงนั่นเอง
การจะมองเห็นวัตถุใด ๆ
ได้นั้นต้องมีแสงจากวัตถุสะท้อนมาเข้าตาเรา โดยวัตถุชนิดนั้นอาจมีแสงสว่างในตัวเอง ทำให้เรามองเห็นได้ หรือ
หากวัตถุชนิดนั้นไม่มีแสงสว่างในตัวเอง
จะต้องมีแสงจากแหล่งกำเนิดแสงอื่นมากระทบวัตถุนั้น แล้วสะท้อนเข้าตา จึงจะทำให้เรามองเห็นวัตถุนั้นได้ เมื่อแสงเคลื่อนที่ผ่านวัตถุที่มีความหนาแน่นที่ต่างกัน
เช่นน้ำกับอากาศ จะทำให้แสงเดินทางช้าลงหรือเร็วขึ้น มีผลทำให้แสงเบนไปจากแนวเดิม ตรงบริเวณผิวรอยต่อของน้ำและอากาศ เรียกแสงที่เปลี่ยนไปจากแนวเดิมนี้ว่า รังสีหักเห การที่เรามองเห็นภาพของดินสอดูตื้นกว่าความเป็นจริง เนื่องจากแสงมีการเปลี่ยนทิศทางออกไปเมื่อผ่านจากน้ำออกสู่อากาศ ตำแหน่งที่เห็นดินสอจึงไม่ใช่ตำแหน่งที่แท้จริง
2.2
มองเห็นปลาในน้ำอยู่ตื้นกว่าความเป็นจริง
การที่เรามองเห็นปลาว่ายน้ำไปมาอยู่ใกล้ ๆ ผิวน้ำ แต่จริง ๆ
แล้ว ปลาว่ายน้ำที่ระดับลึกกว่าที่เรามองเห็นมาก เมื่อมองที่อยู่ในน้ำโดยนัยน์ตาของเราอยู่ในอากาศ
จะทำให้มองเห็นวัตถุตื้นกว่าเดิม
นอกจากนี้อาจเคยสังเกตุว่าสระว่ายน้ำหรือถังใส่น้ำจะมองดูตื้น กว่าความเป็นจริง
เพราะแสงต้องเดินทางผ่านน้ำและอากาศแล้วจึงหักเหเข้าสู่นัยน์ตา
ทำให้เกิด
ความลึกจริง ความลึกปรากฏ
เป็นปรากฏการณ์ที่ผู้สังเกต
มองดูวัตถุซึ่งอยูในตัวกลางที่ต่างจากตาของผู้สังเกต
แล้วทำให้มองเห็นภาพที่ปรากฏอยู่คนละตำแหน่งกับวัตถุจริง ซึ่งเกิดจากการหักเหของแสง

การที่ตาของคนจะมองเห็นภาพได้
จะต้องมีรังสีของแสงออกจากวัตถุเดินทางเข้าสู่ตาคน แต่เนื่องจากแสงเดินทางผ่านตัวกลางที่ต่างกันจึงทำให้เกิดมุมหักเห
ทำให้ทางเดินแสงเปลี่ยนไป
เมื่อแสงเข้าสู่ตาทำให้ผู้มองเห็นภาพที่ปรากฏไม่ได้อยู่ที่ตำแหน่งเดียวกับวัตถุจริง
ทำให้เกิดปรากฏการณ์ความลึกจริงและลึกปรากฏ

การมองเห็นปลาอยู่ตื้นกว่าตำแหน่งจริง

เป็น ปรากฏการณ์เกิดภาพลวงตา ซึ่ง บางครั้งในวันที่อากาศเย็น เราอาจจะมองเห็นสิ่งที่เหมือนกับสระน้ำบนถนน ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่ามีแถบอากาศร้อนใกล้ถนนที่ร้อน และแถบอากาศที่เย็นกว่า (มีความหนาแน่นมากกว่า) อยู่ข้างบน รังสีของแสงจึงค่อยๆ หักเหมากขึ้น เข้าสู่แนวระดับ จนในที่สุดมันจะมาถึงแถบอากาศร้อนใกล้พื้นถนนที่มุมกว้างกว่ามุมวิกฤต จึงเกิดการสะท้อนกลับหมด จึงทำให้เกิดการมองเห็นภาพลวงตาหรือปรากฏการณ์ มิราจ


2.4 เกิดรุ้งกินน้ำ
รุ้งกินน้ำ (
Rainbow) เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่มักเกิดตอนหลังฝนตกใหม่ ยิ่งเฉพาะมีแดดออกด้วย
ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดจากแสงแดดจากดวงอาทิตย์ที่ส่องลงมากระทบกับหยด
น้ำฝนหรือละอองน้ำ
แล้วจะเกิดการหักเหและการสะท้อนกลับหมดของแสงทำให้เกิดเป็นแถบสีบนท้องฟ้า
โดยการหักเหของแสงในหยดน้ำนั้นจะแยกสเปกตรัมของแสงขาวจากแสงแดดออกเป็นแถบสี ต่างๆ



สามารถดูการทดลองได้จากคลิปเหล่านี้
และดูข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก